ผมคิดว่าพวกเราไม่อาจที่จะปล่อยให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ทางทะเลของเรา ผมได้กล่าวถึงประเด็นนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว พวกเราไม่สามารถอ้างอิงถึงเหตุผลใดๆ ได้เลยในการที่จะปล่อยให้สูญเสียพื้นที่ทางทะเลและหมู่เกาะ
ท่านทูตเหงียนเตื่องซาง ผู้ที่ได้ใช้เวลากว่า 10 ปีคลุกคลีกับการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสถานการณ์ทางทะเลและหมู่เกาะได้เปิดเผยถึงความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นไปในแถบพื้นที่หาดตือจิ๋ง (Bãi Tư Chính) สำหรับคอลัมน์หนึ่งสัปดาห์ในเวียดนามในวาระนี้จึงขอนำเสนอเนื้อหาดังกล่าวดังต่อไปนี้
หาดตือจิ๋ง (Bãi Tư Chính)
กล่าวได้ว่า ในปัจจุบันพวกเรากำลังดำรงอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับการรุกรานโดยสามารถอ้างอิงได้จากหลักเกณฑ์และคำจำกัดความที่รับรองโดยองค์การสหประชาชาติซึ่งที่ประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติได้เห็นพ้องร่วมกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 เป็นต้นมา พวกเราต้องสรุปว่า พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับการรุกรานพื้นที่ทางทะเลครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ (สำหรับในพื้นที่ทางบกนั้นถือว่ามีการรุกรานขนาดใหญ่มากกว่านี้หลายครั้ง)
พวกเราจำต้องจดจำถึงประเด็นสำคัญนี้ สิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในแถบพื้นที่หาดตือจิ๋งถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อยืนยันถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หากมีคำถามว่าเพราะเหตุใดมันจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ? คำตอบก็คือเนื่องจากช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าเราจะยังคงรักษาพื้นที่ทางทะเลไว้ได้หรือจะสูญเสียมันไป ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าประเทศของเราจะเป็นประเทศที่อ่อนแอหรือเป็นประเทศที่หาญกล้าและเข้มแข็ง
กล่าวได้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแถบพื้นที่หาดตือจิ๋งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของพวกเรา ผมคิดว่านี่คือการต่อสู้เชิงยุทธศาสตร์เช่นเดียวกับในกรณีของเดียนเบียนฟูเมื่อปี ค.ศ. 1954 หรือกรณีของยุทธการเดียนเบียนฟูทางอากาศเมื่อปี ค.ศ. 1972 มันจะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนผ่านในการต่อสู้เพื่อรักษาพื้นที่ทางทะเลของพวกเรา มันมีลักษณะเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญและผลของมันจะเป็นปัจจัยที่ตัดสินอนาคตของประเทศเวียดนาม
พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัส มีบางคนได้กล่าวว่า พวกเราจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีสรรพกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องพื้นที่ทางทะเลและหมู่เกาะของพวกเรา พวกเราจำต้องรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความสงบ เนื่องจากสันติภาพและความสงบนั้นเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาชาติบ้านเมือง เมื่อวันก่อน ผมรู้สึกประหลาดใจที่วีดีโอคลิปบางชิ้นได้กล่าวว่า พวกเราไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะต่อต้าน และการที่มีพื้นที่ทางทะเลและหมู่เกาะบางแห่งสูญเสียไปนั้นก็คงมิได้ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเวียดนาม ผมมีความรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่บางคนกล่าวว่า พวกเขาเข้มแข็งส่วนพวกเรานั้นอ่อนแอ พวกเราจะปกป้องพื้นที่ทางทะเลไว้ได้อย่างไร การที่พวกเราลุกขึ้นมาทำการปกป้องเกาะแก่งต่างๆ จะมินำไปสู่การทำสงครามหรอกหรือ และถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่มีสันติภาพและเสถียรภาพใดๆ
ขอเรียนกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากว่าพวกเราต้องสิ้นชาติและสูญเสียพื้นที่ทางทะเลแล้วพวกเราจะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าเสถียรภาพมาจากไหน นั่นแหละคือสัจธรรมที่แสนจะเรียบง่าย
ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ พวกเราต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกว่าจะปล่อยให้สูญเสียพื้นที่หาด ตือจิ๋งหรือไม่ ? หรือว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังที่เกิดขึ้นกับหมู่เกาะปะการังสการ์โบโรห์ในปี ค.ศ. 2012 หรือไม่ ? กล่าวได้ว่า ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่เราต้องตัดสินใจ
กรณีของหาดตือจิ๋งได้เผยให้เห็นถึงความคิดอันชั่วร้ายของพวกเขาที่ต้องการเปลี่ยนพื้นที่ทะเลตะวันออกให้กลายเป็นพื้นที่ภายใต้การครอบครองของตน
ท่านทูตเหงียนเจื่องซาง “พวกเราไม่อาจปล่อยให้เสียพื้นที่ทางทะเลและเกาะแก่งต่าง ๆ”
แล้วเวียดนามมีทางเลือกอย่างไร ? พวกเราจะเลือกที่จะขออนุญาตพวกเขาเพื่อทำการจัดส่งเสบียงเข้าไปให้แก่เหล่านักรบของเราที่ประจำการอยู่บนเกาะหรือไม่ ? พวกเราจะยอมหรือไม่ ? พวกเราจะยอมตกเป็นชาติที่อ่อนแอขี้ขลาดหรือไม่ ? พวกเรายินยอมที่จะสูญเสียคุณค่าแห่งความเป็นชาติหรือไม่ ? ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่เราจะต้องเลือก ผมคิดว่าชาวเวียดนามส่วนใหญ่เลือกที่จะรักษาไว้ซึ่งพื้นที่ทางทะเลและเกาะแก่งต่างๆ และรักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้ พวกเราต้องเลือกที่จะพัฒนาชาติบ้านเมืองของเราให้มีความเติบโต เข้มแข็ง และวัฒนาถาวรเพื่อมิให้ชาติอื่น ๆ ที่แม้ว่าจะมีความเข้มแข็งเพียงใดก็มิอาจรังแก ล่วงละเมิดคุณค่าความเป็นชาติ ล่วงละเมิดอธิปไตยและบูรณะภาพเหนือดินแดนของเรา
บนโลกใบนี้มี 10 ประเทศที่ไม่มีชาติใดสามารถรังแกพวกเขาได้ เวียดนามก็เป็นหนึ่งในชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม คุณค่าแห่งความเป็นชาติกำลังถูกท้าทาย เราจะยอมได้อย่างไรหากกองกำลังที่ถูกต้องตามกฏหมายของเราถูกขับไล่ออกมาจากพื้นที่น่านน้ำของเรา ?
พวกเราต้องรักษาหาดตือจิ๋งไว้ให้ได้
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการยืนยันกรณีหาดตือจิ๋ง หากพวกเราไม่ยืนยันว่านี่คือการรุกรานนั้นก็อาจจะมีบางคนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่าพวกเราจะทำสงครามเพราะเหตุนี้งั้นหรือ ? ในกรณีนี้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง สิ่งที่สองคือเหตุผล ช่วงเวลานี้คือช่วงที่พวกเขากำลังดำเนินกลยุทธ์ในขั้นที่ต่ำกว่าระดับของสงครามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการทำสงครามการค้า หากพวกเขาตัดสินใจลั่นกระสุนแน่นอนว่ามันจะนำความตกต่ำมาสู่พวกเขา แน่นอนว่าความฝันของพวกเขาจะต้องถูกฝังไว้ใต้ท้องทะเลแห่งนี้ มิเพียงแต่ชาติในภูมิภาคนี้เท่านั้นแต่ยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังรอคอยโอกาสนี้เพื่อจัดการกับพยัคฆ์ที่กำลังลำพองให้เชื่องลง หลายชาติกำลังรอคอยเวลานี้ ดังนั้น พวกเราต้องดำเนินการอย่างแข็งกร้าวและรอบคอบ พวกเขากำลังดำเนินยุทธศาสตร์ที่ต่ำกว่าระดับของสงครามด้วยแผนยุทธศาสตร์ที่เรียกว่าพื้นที่สีเทา (Gray-Zone Strategy) ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการทำสงครามอันส่งผลให้ชาติต่าง ๆ เกิดความหวาดกลัว อย่างไรก็ตามจะต้องมีความขัดแย้งและการปะทะกันอย่างรุนแรงเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้เชิงจิตวิทยา หากพวกเราได้เตรียมความพร้อมในการทำสงครามพวกเราจะมีสันติภาพ และนี่คือยุทธวิธีของซุนวู
อาจมีผู้กล่าวว่า ความเห็นของผมนั้นเจือเคล้าด้วยความคิดแบบสุดโต่ง สำหรับผม ความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง หากพวกเราเชื่อว่าพวกเราจะสามารถรักษาพื้นที่ทางทะเลและรักษาหาดตือจิ๋งไว้ได้แล้วในท้ายที่สุดพวกเราก็จะทำมันได้สำเร็จ ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเป็นพื้นฐานสำหรับเราที่จะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรักษาพื้นที่ทางทะเลและเกาะแก่งเอาไว้ได้
และทะเลนั้นเป็นของเรา เกาะก็เป็นของเรา แม้นว่าพวกเราไม่มีความแข็งแกร่งใด ๆ เลยก็ยังรักษามันเอาไว้ได้ มีหลายคนที่กำลังสับสนถึงช่วงเวลาที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่นี้ ช่วงเวลานี้แตกต่างจากช่วงเวลาในช่วงยุคกลาง ในยุคนี้ไม่ควรที่จะเปรียบเทียบว่าเรานั้นอ่อนด้อยส่วนพวกเขานั้นแข็งแกร่ง ขออภัยที่จะต้องกล่าวว่านั่นคือการเปรียบเทียบที่โง่เง่าสิ้นดี ผมขอเรียนว่า ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ยุคกลาง ยุคสมัยของพวกเราคือยุคสมัยของศตวรรษที่ 21 ระเบียบของโลกโดยเฉพาะทางด้านความมั่นคงที่ได้รับการจัดวางตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นยังคงดำรงอยู่ ระบบของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นก็ยังดำรงอยู่ด้วยเช่นกัน กล่าวได้ว่าข้อตกลงระหว่างประเทศก็ได้รับการยึดถือปฏิบัติในอัตราสูงถึงร้อยละ 99
ผมยอมรับข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า ในทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ นั้นยังคงใช้กำลังอาวุธ อย่างไรก็ตาม การใช้กำลังอาวุธนั้นก็จำต้องมีเหตุผลเพียงพอ แล้วเหตุผลของพวกเขานั้นคืออะไร ? แนวหาดตือจิ๋งเป็นของพวกเขางั้นหรือ ? หรือว่าพวกเราเป็นฝ่ายปล้นเอาพื้นที่ทางทะเลและเกาะแก่งของเขา ? หากพวกเขาสามารถหาหลักฐานมายืนยันถึงสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้นพวกเขาจึงจะมีสิทธิใช้กำลังอาวุธ ทว่าพวกเขาจะหาหลักฐานมายืนยันได้อย่างไร แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้
ผมคิดว่าไม่ว่าจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์อย่าไร พวกเราก็สามารถป้องกันการนำแท่นสำรวจล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ทางทะเลของพวกเรา เหตุผลก็คือยังไม่มีประเทศใด ๆ บนโลกนี้ที่สามารถกระทำการเยี่ยงนั้นได้ ถ้าหากใคร ๆ ก็ทำได้พวกชาวอเมริกัน หรือชาวญี่ปุ่นก็คงจะยึดครองเอาพื้นที่ทางทะเลของโลกนี้ไว้ได้ทั้งหมดไปแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีใครสามารถใช้อำนาจทางอาวุธเพื่อยึดครองพื้นที่ทางทะเล
ผมคิดว่าพวกเราไม่อาจที่จะปล่อยให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ทางทะเลของเราได้ ผมพูดเช่นนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว พวกเราไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะปล่อยให้สูญเสียพื้นที่ทางทะเลและเก่าแก่งต่าง ๆ
พวกเรามีหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศรองรับเพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาหันมาปฏิเสธอธิปไตยเหนือพื้นที่หมู่เกาะหว่างซา เจื่องซา และแผนที่ลิ้นวัว นี่คือเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง ทั้งยังเป็นความเชื่อมันที่สำคัญที่ยืนยันว่าพวกเราสามารถที่จะปกปักรักษาพื้นที่ของพวกเราไว้ได้
ทั้งนี้ สำนึกของประชาชนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากว่าทะเลตะวันออกนั้นอยู่ในจิตสำนึกของชาวเวียดนามแต่ละคนพื้นที่ทางทะเลแห่งนี้ก็มิอาจสูญเสียไปได้ หากพวกเราไม่แยแส เฉยเมย ไม่สนใจต่อพื้นที่ทางทะเล การที่จะปกปักรักษาไว้ได้ก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก กล่าวได้ว่า สำนึกของผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราต้องมีความสมัครสมานสามัคคีในหมู่พี่น้องประชาชน หากรวมแรงใจของพี่น้องชาวเวียดนามจำนวน 96 ล้านคนให้เป็นหนึ่งเดียว การรักษาไว้ซึ่งพื้นที่ทางทะเลและเกาะแก่งต่าง ๆ ก็จะประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม พวกเราจะต้องเตรียมความพร้อมทางด้านแผนการอันถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การดำเนินการต่าง ๆ อาจมิเป็นเพียงแค่การยื่นเอกสารทางการทูตหรือการพบปะเจรจาเท่านั้น พลังของพวกเรานั้นสูงมาก ชื่อเสียงของกองทัพประชาชนเวียดนามนั้นมีความแข็งแกร่งเทียบได้กับกำลังพลจำนวน 50 กองพลที่มีความพร้อมและได้รับการติดอาวุธที่ทันสมัย นักการทูตที่ประจำการ ณ องค์การสหประชาชาติหลายคนได้กล่าวกับผมเช่นนี้ พวกเขานั้นมีความยำเกรงต่อประเทศเวียดนาม
กระนั้น ประสบการณ์ของพวกเราต่อกรณีเช่นนี้ยังถือว่าน้อยนัก พวกเราต้องทำการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้กว้างขวางออกไปอีกเพื่อให้เห็นว่า ถ้าหากพวกเขาสามารถย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ทางทะเลของพวกเราได้ 1 ขาแล้วพวกเขาก็จะก้าวเข้ามาอีก 1 ขา และรุกเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็จะสูญเสียพื้นที่ในการตั้งรับทางยุทธศาสตร์ทางท้องทะเลของพวกเรา
ในท้ายที่สุด การประนีประนอมนั้นมิใช่ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ พวกเรานั้นเคยแสดงออกแบบเจียมเนื้อเจียมตัวและประนีประนอมแต่ก็ไม่ได้ผล และนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตามแนวหาดตือจิ๋ง ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงต้องมีความเชื่อและยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นการประนีประนอมในรูปแบบใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะนำไปสู่สันติภาพได้
Tư Giang - Vietnamnet
Suriya Khamwan แปล